ประวัติองค์จินกงจู่ซือ
(พระธรรมาจารย์องค์ที่ 17 - พระภาคสุดท้ายขององค์พระเมตไตรย)
|
|
พระธรรมาจารย์องค์ที่ 17 มีนามเดิมว่า "ลู่จงอี"
(พระภาคขององค์พระเมตไตรย) เกิดเมื่อวันที่ 24 เดือน 4 ปี
ค.ศ. 1849 ที่เมืองจี้หนิง มณฑลซันตง ประเทศจีน มีน้องสาวร่วมอุทร
(พระภาคของพระพุทธอาวุโสแห่งแดนทะเลใต้) 1 คน
ซึ่งได้รับพระบัญชาให้จุติสู่โลกมาช่วยงานธรรม มีนามว่า "เหล่ากูไหน่ไน"
|
ในปี 1870 เมื่อท่านอายุ 22 ปี ได้เข้ารับราชการทหารเป็นเวลา 8
ปีจนได้เป็นนายทหาร มาในปี 1895 วันหนึ่งตอนที่ท่านอายุ 47 ปี
ท่านได้นิมิตจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ไปรับธรรมะกับพระธรรมาจารย์องค์ที่ 16
“อาจารย์หลิวชิงซวี หรือ หลิวจู่” ที่เมืองชิงโจว มณฑลซันตง
ท่านจึงสะพายถุงย่ามใบหนึ่งไปที่เมืองชิงโจว เพื่อขอพบพระธรรมาจารย์องค์ที่ 16
เมื่อถึงที่นั่นท่านเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู
จนคนเฝ้าประตูต้องไปรายงานต่ออาจารย์หลิว อาจารย์หลิวออกมาดู
พบบุคลิกลักษณะตรงตามที่องค์ธรรมมารดาได้บอกไว้ว่าจะมีคนสวมหมวกสักหลาด
ใส่เสื้อนวมปุยฝ้าย สะพายกระเป๋าย่ามมาใบหนึ่ง มาขอรับธรรมะ
ชายคนนี้แลดูเหมือนคนโง่ๆแต่แฝงไว้ด้วยความล้ำลึก
หากเขาได้รับธรรมะแล้ววันข้างหน้าจะบำเพ็ญปฎิบัติธรรมได้ดี จึงถามลู่จงอีว่า
มาด้วยเรื่องอันใด ลู่จงอีได้เล่าความฝันให้อาจารย์หลิวฟัง อาจารย์หลิวจึงพูดว่า
การขอรับธรรมะนั้นต้องมีเงินทำบุญ
ลู่จงอีจึงได้นำเงินที่สะสมมาทั้งหมดตอนที่เป็นทหาร ยกให้เป็นเงินทำบุญ
หลังจากรับธรรมะแล้ว ลู่จงอีได้บำเพ็ญธรรมอยู่ในสถานธรรมของอาจารย์หลิว
เนื่องจากลู่จงอีเป็นคนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ จึงได้รับผิดชอบหาบน้ำ ผ่าฟืน
ตำข้าวและกวาดถูพื้น อยู่ในห้องครัว เป็นเวลา 3 ปี
|
ในปี 1898 เมื่อลู่จงอีอายุได้ 50 ปี
องค์ธรรมมารดาได้บอกกล่าวอาจารย์หลิวให้มอบสายธรรมให้กับผู้ที่ในฝ่ามือ 2
ข้างมีตัวอักษร "เหอ" และ "ถง" ให้เป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ 17
หลังจากมีการคัดเลือกหลายครั้ง อาจารย์หลิวพบว่ามีเพียงลู่จงอีคนเดียวที่ในฝ่ามือ 2
ข้างมีอักษร "เหอ" และ "ถง"
ในขณะนั้นอาจารย์หลิวเกรงว่าลูกศิษย์ทั้งหลายจะอิจฉาริษยาและให้ร้ายลู่จงอี
จึงไม่กล้าประกาศออกมา ได้แต่พูดว่า ลู่จงอีเป็นคนบุ่มบ่าม ในมือไม่มีตัวอักษร
"เหอถง" ให้รีบกลับไปทำงานในห้องครัวตามเดิม ตกกลางคืน
อาจารย์หลิวได้ไปหาลู่จงอีที่ห้องครัว เพื่อแต่งตั้งลู่จงอี ให้เป็น
พระธรรมาจารย์องค์ที่ 17 และให้รีบกลับไปบ้านเกิดเพื่อไปปฎิบัติธรรม
ลู่จงอีกลับไปหาน้องสาว คือเหล่ากูไหน่ไน
จากนั้นทั้งสองก็ได้ร่วมปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ด้วยลู่จงอีเป็นคนไม่รู้หนังสือ
จึงให้ผู้อื่นมาช่วยเขียนใบพระราชสาส์น
รวมทั้งบัญชีเงินทำบุญก็ให้ผู้อื่นเขียนให้อย่างชัดเจน
เงินทำบุญใช้กระดาษห่อไว้แล้วผูกด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ใส่ในไห 2 ใบจนเต็ม
เมื่อเต็มไหก็หาบไปส่งมอบให้อาจารย์หลิว
|
ในปี 1905 เดือน 3 วันที่ 15 พระธรรมาจารย์องค์ที่ 16 ก็ละสังขารจากโลก
|
ตลอดชีวิตของลู่จงอี ท่านบำเพ็ญธรรมปฎิบัติธรรมด้วยความเมตตาโง่เขลา
ใครด่ามาไม่ด่าตอบ ใครตีมาไม่ตีตอบ อดกลั้นอดทน ยิ้มแย้ม เป็นคนประหยัดและมัธยัสถ์
|
ในปี 1925 ก่อนที่ลู่จงอีจะสำเร็จธรรม
ท่านได้ทดสอบลูกศิษย์ทั้งหลายเพื่อพิสูจน์ว่าใครบำเพ็ญจริงปฎิบัติจริง
มีอยู่วันหนึ่งท่านได้ประกาศกับลูกศิษย์ว่า ตอนนี้ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว
ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญอะไรเป็นพิเศษ ท่านให้คนไปซื้อเนื้อหมูมาปรุงอาหาร
ให้ทุกคนได้รับประทาน ขณะนั้นมีเพียงพระธรรมาจารย์ชายที่แสร้งทำเป็นปวดท้อง
และพระธรรมาจารย์หญิงแสร้งทำเป็นไม่สบาย จะได้ไม่ต้องผิดศีล
ในที่สุดมีเพียงพระธรรมาจารย์ชาย - หญิง 2 ท่านเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ
นอกนั้นสอบตกหมด ด้วยเหตุนี้ พระธรรมาจารย์ชาย พระธรรมาจารย์หญิงทั้ง 2 ท่าน
จึงได้เป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ 18 มาช่วยงานเก็บรวมในธรรมกาลยุคสุดท้ายนี้
|
ในปี 1925 เดือน 2 วันที่ 2 “ลู่จู่” พระธรรมาจารย์องค์ที่ 17
บุญกุศลครบถ้วนสมบูรณ์ละสังขารจากโลก เมื่ออายุ 77
ปีและได้รับพระราชทานนามธรรมจากองค์ธรรมมารดาเป็น “จินกงจู่ซือ” หลังจากนั้น 100
วัน องค์ธรรมมารดาได้ให้เหล่ากูไหน่ไนรับราชโองการรักษาการณ์ต่ออีก 12 ปี
จากนั้นสายธรรมจึงถูกส่งต่อให้พระธรรมาจารย์ชาย พระธรรมาจารย์หญิง
ทั้งสองท่านเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ 18
|
บทสังเขป
ผู้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงต้องละเว้นเนื้อสัตว์
หากกินเนื้อสัตว์ถือว่าผิดศีลข้อที่ 1
|
<<
กลับไปประวัติอริยเจ้า
|